วันพฤหัสบดีที่ 29 มกราคม พ.ศ. 2558

คำถาม



                 ปัญหาการเรียนตกต่ำ

คำถาม     ปํญหาการเรียนตกต่ำของนักเรียนโรงเรียนชะอวด  เกิดจากสาเหตุใดมากกว่ากัน                                         ระหว่าง  สื่อออนไลน์และค่านิยมในการมีแฟนในวัยเรียนเพราะเหตุใด อย่างไร
  
เทคโนโลยี หมายถึงอะไร
     เทคโนโลยี   หมายถึง การนำความรู้ทางธรรมชาติวิทยาและต่อเนื่องมาถึงวิทยาศาสตร์ มาเป็นวิธีการปฏิบัติและประยุกต์ใช้เพื่อช่วยในการทำงานหรือแก้ปัญหาต่าง ๆ อันก่อให้เกิดวัสดุ อุปกรณ์ เครื่องมือ เครื่องจักร แม้กระทั่งองค์ความรู้นามธรรมเช่น ระบบหรือกระบวนการต่าง ๆ เพื่อให้การดำรงชีวิตของมนุษย์ง่ายและสะดวกยิ่งขึ้น [3]
     เทคโนโลยีก่อเกิดผลกระทบต่อสังคมและในพื้นที่ที่มีเทคโนโลยีเข้าไปเกี่ยวข้องในหลายรูปแบบ เทคโนโลยีได้ช่วยให้สังคมหลาย ๆ แห่งเกิดการพัฒนาทางเศรษฐกิจมากขึ้นซึ่งรวมทั้งเศรษฐกิจโลกในปัจจุบัน ในหลาย ๆ ขั้นตอนของการผลิตโดยใช้เทคโนโลยีได้ก่อให้ผลผลิตที่ไม่ต้องการ หรือเรียกว่ามลภาวะ เกิดการสูญเสียทรัพยากรธรรมชาติและเป็นการทำลายสิ่งแวดล้อม เทคโนโลยีหลาย ๆ อย่างที่ถูกนำมาใช้มีผลต่อค่านิยมและวัฒนธรรมของสังคม เมื่อมีเทคโนโลยีใหม่ ๆ เกิดขึ้นก็มักจะถูกตั้งคำถามทางจริยธรรม


  เทคโนโลยีเป็นสิ่งที่มนุษย์นำความรู้จากธรรมชาติวิทยามาคิดค้นและดัดแปลงธรรมชาติเพื่อแก้ปัญหาพื้นฐานในการดำรงชีวิต ในระยะแรกเทคโนโลยีที่นำมาใช้เป็นระดับพื้นฐานอาทิ การเพาะปลูก การชลประทาน การก่อสร้าง การทำเครื่องมือเครื่องใช้ การทำเครื่องปั้นดินเผา การทอผ้า เป็นต้น ปัจจัยการเพิ่มจำนวนของประชากร ข้อจำกัดด้านทรัพยากรธรรมชาติ รวมทั้งการพัฒนาความสัมพันธ์กับต่างประเทศ เป็นปัจจัยสำคัญในการนำและการพัฒนาเทคโนโลยีมาใช้มากขึ้น
  เทคโนโลยีกับวิทยาศาสตร์มีความสัมพันธ์กันมาก เทคโนโลยีเกิดจากพื้นฐานทางวิทยาศาสตร์ที่ถ่ายทอดมาจากประเทศตะวันตก ซึ่งศึกษาค้นคว้าทฤษฎีทางวิทยาศาสตร์มาอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ยุคปฏิวัติวิทยาศาสตร์ (คริสต์ศตวรรษที่ 16-17) ทำให้การพัฒนาเทคโนโลยีเจริญก้าวหน้าควบคู่ไปกับวิทยาศาสตร์ ความรู้ทางวิทยาศาสตร์เป็นความรู้ที่เกิดจากการสังเกตปรากฏการณ์ทางธรรมชาติ คือการพยายามที่อธิบายว่าทำไมจึงเกิดอย่างนั้น เช่น นักฟิสิกส์ อธิบายว่า เมื่อขดลวดตัดสนามแม่เหล็กจะได้กระแสไฟฟ้า และน้ำเกิดจากไฮโดรเจนผสมกับออกซิเจน เป็นต้น ตั้งเป็นกฎเกณฑ์และทฤษฎีเพื่อถ่ายทอดและสอนให้ผู้อื่นได้ศึกษาและพัฒนา


 เทคโนโลยีกับการพัฒนาอุตสาหกรรม การนำเทคโนโลยีมาใช้ในการผลิต ทำให้ประสิทธิภาพในการผลิตเพิ่มขึ้น ประหยัดแรงงาน ลดต้นทุนและ รักษาสภาพแวดล้อม เทคโนโลยีที่มีบทบาทในการพัฒนาอุตสาหกรรมในประเทศไทย เช่น คอมพิวเตอร์ และอิเล็กทรอนิกส์ การสื่อสาร เทคโนโลยีชีวภาพและพันธุกรรม วิศวกรรม เทคโนโลยีเลเซอร์ การสื่อสาร การแพทย์ เทคโนโลยีพลังงาน เทคโนโลยีวัสดุศาสตร์ เช่น พลาสติก แก้ว วัสดุก่อสร้าง โลหะส่วนในความหมายของเทคโนโลยีเป็นการประยุกต์ นำเอาความรู้ทางวิทยาศาสตร์มาใช้ และก่อให้เกิดประโยชน์ในทางปฏิบัติแก่มวลมนุษย์ กล่าวคือ เทคโนโลยีเป็นการนำเอาความรู้ทางวิทยาศาสตร์มาใช้ ในการประดิษฐ์สิ่งดำที่สุดสูงสุด ส่วนที่เป็นข้อแตกต่างอย่างหนึ่งของเทคโนโลยี กับวิทยาศาสตร์ คือเทคโนโลยีจะขึ้นอยู่กับปัจจัยทางเศรษฐกิจเป็นสินค้ามีการซื้อขาย ส่วนความรู้ทางวิทยาศาสตร์เป็นสมบัติส่วนรวมของชาวโลก มีการเผยแพร่โดยไม่มีการซื้อขายแต่อย่างใดกล่าวโดยสรุปคือ เทคโนโลยีสมัยใหม่เกิดขึ้นโดยมีความรู้ทางวิทยาศาสตร์เป็นฐานรองรับ บทบาทของเทคโนโลยีต่อการพัฒนาประเทศไทยได้เล็งเห็นความสำคัญของวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีมาเป็นลำดับ เช่น การตราพระราชบัญญัติ สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าในปี พศ 2514 และจัดตั้งกระทรวงวิทยาศาสตร์เทคโนโลยีและการพลังงานแห่งชาติขึ้นในปี พศ 2522 ให้ทำหน้าที่หลักในการเผยแพร่และพัฒนาผลงานทางวิทยาศาสตร์และ เทคโนโลยีให้เกิดประโยชน์สูงสุด ปัจจุบันเทคโนโลยีมีบทบาทต่อการพัฒนาอย่างมาก กล่าวโดยสรุปดังนี้

  1. เทคโนโลยีกับการพัฒนาด้านการเกษตร ใช้เทคโนโลยีในการเพิ่มผลผลิต ปรับปรุงพันธุ์ เป็นต้น เทคโนโลยีมีบทบาทในการพัฒนาอย่างมาก แต่ทั้งนี้การนำเทคโนโลยีมาใช้ในการพัฒนาจะต้องศึกษาปัจจัยแวดล้อมหลายด้าน เช่น ทรัพยากรสิ่งแวดล้อม ความเสมอภาคในโอกาสและการแข่งขันทางเศรษฐกิจและสังคม เพื่อให้เกิดความ ผสมกลมกลืนต่อการพัฒนาประเทศชาติและส่วนอื่น ๆ อีกมาก
ในทางเศรษฐศาสตร์ มองเทคโนโลยีว่าเป็นความรู้ของมนุษย์ ณ ปัจจุบัน ในการนำเอาทรัพยากรมาผลิตเป็นผลิตภัณฑ์ที่ต้องการ (รวมถึงความรู้ว่าเราสามารถผลิตอะไรได้บ้าง) ดังนั้น การเปลี่ยนแปลงทางเทคโนโลยี จะเกิดขึ้นเมื่อความรู้ทางเทคนิคของเราเพิ่มขึ้น
https://www.google.co.th/search

สาเหตุ    อินเทอร์เน็ตเป็นทั้งแหล่งข้อมูลความรู้และแหล่งบันเทิง ข้อมูลความรู้ที่ค้นหาได้มากมายและสะดวกกับผู้ใช้ทุกเพศทุกวัย ทำให้ปัจจุบันผู้ปกครองนิยมติดตั้งอินเทอร์เน็ตให้บุตรหลานใช้ที่บ้านกันมากขึ้น แต่ก็ขึ้นอยู่กับผู้ใช้เช่นกันว่าจะใช้อินเทอร์เน็ตในการหาประโยชน์ความรู้หรือใช้เพื่อเป็นสื่อบันเทิง และปัจจุบันเริ่มมีปัญหาเด็กติดเน็ตและสื่อบันเทิงมากขึ้น
         

          เช่นเดียวกันกับประเทศที่พัฒนาแล้วอย่าง อเมริกา ก็มีปัญหาเด็กติด"เน็ต-สื่อบันเทิง" โดยเยาวชนที่มีอายุระหว่าง 8 - 18 ปีจะใช้เวลาเฉลี่ยประมาณ 7 ชั่วโมง ต่อวัน (หรือ 53 ชั่วโมงต่อสัปดาห์) ในการรับสื่อที่ให้ความบันเทิง มีผลกระทบต่อเยาวชนประมาณ 47% ที่ไม่ได้รับการดูแลจากครอบครัวในการจำกัดเวลาการรับสื่อ มีผลการเรียนที่ตกต่ำลง กลุ่มผู้บริโภคที่ติดสื่อจะใช้เวลาประมาณ 16 ชั่วโมงต่อวัน ซึ่งมีอยู่มากถึง 21% สาเหตุเกิดจากพัฒนาการที่หลากหลายของเทคโนโลยีสื่อทำให้เยาวชนเข้าถึงสื่อได้ง่ายขึ้น ซึ่งพฤติกรรมการใช้อุปกรณ์มือถือเพิ่มขึ้นจาก 39% เป็น 66% และผู้ใช้ iPod หรือเครื่องเล่นMP3 ในกลุ่มเดียวกันนี้มีการเติบโตจาก 18% เป็น 76%
สำหรับประเทศไทย จากรายงานผลการสำรวจกลุ่มผู้ใช้อินเทอร์เน็ตในประเทศไทยปี 2552 โดยศูนย์เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์ และคอมพิวเตอร์แห่งชาติ (NECTEC) ได้ใช้วิธีการแบบสำรวจออนไลน์ต่อผู้สำรวจจำนวน 11,991 คน พบว่าผู้ใช้อินเทอร์เน็ตจากที่บ้านมากที่สุดคิดเป็น 52.3 % ซึ่งสัดส่วนการใช้จากที่บ้านเพิ่มมากขึ้น แสดงถึงการเข้าถึงสื่ออินเทอร์เน็ตที่ง่ายขึ้น ขณะเดียวกันก็มีอัตราส่วนการใช้บริการอินเทอร์เน็ตผ่านโทรศัพท์มือถือเพิ่มขึ้นเช่นกัน และมีการบริโภคข่าวสารออนไลน์กว่า 88.5% โดยข่าวบันเทิงเป็นประเภทของข่าวออนไลน์ที่ติดตามเป็นอันดับที่3 คิดเป็น 17.1% ซึ่งรูปแบบของการติดตามข่าวออนไลน์ที่ได้รับความนิยมมากที่สุด คือ การอ่านข่าวผ่านเว็บบอร์ด และเว็บไซต์หนังสือพิมพ์ออนไลน์


         

              ปัญหาอาจจะเกิดขึ้นในอนาคตคือ เยาวชนไทยมีอัตราการติดสื่อเน็ต-บันเทิงมากเหมือนในประเทศอเมริกา เพราะการใช้เวลากับสื่อในกิจกรรมออนไลน์ที่มากขึ้นและมีการเลือกใช้บริการสื่อบันเทิงได้จากอุปกณ์เคลื่อนที่อย่างโทรศัพท์มือถือ หรือเครื่องเล่นMP3 กลายเป็นอุปกรณ์มัลติมีเดียครบครัน เยาวชนในยุคใหม่จึงเริ่มใช้เวลาในการฟังเพลง เล่นเกม ชมภาพยนตร์ผ่านบริการอินเทอร์เน็ตในอุปกรณ์มัลติมีเดีย ทำให้ไม่ได้ใช้เวลาในการทำกิจกรรมอย่างอื่นที่เป็นประโยชน์ได้ เช่น การเล่นกีฬา ค้นหาความรู้เพื่อเพิ่มทักษะในด้านต่างๆ
การควบคุมดูแลบุตรหลานในการใช้เทคโนโลยีจึงมีความสำคัญอย่างมาก หากครอบครัวให้เวลา ให้ความรักและความเอาใจใส่ต่อกัน แนะนำให้ใช้อุปกรณ์มัลติมีเดียที่เหมาะสมกับช่วงวัยและร่วมกันสร้างกฎเกณฑ์ในการควบคุมเวลาในการบริโภคสื่อบันเทิง ก็จะป้องกันปัญหาเด็กติดสื่อเน็ต-บันเทิงได้


 เว็บไซต์ http://www.arip.co.th/news.php?id=410718


ค่านิยมในการมีแฟนในวัยเรียนหมายถึงอะไร

    หมายถึง  ทฤษฎีความรักของ สเตอร์นเบิร์ก (Sternberg. 1988) ที่ได้อธิบายถึงองค์ประกอบของความรักว่ามี 3 องค์ประกอบ คือ ความใกล้ชิดสนิทสนม (intimacy) ความผูกพัน อุทิศตัวต่อกัน (commitment) และความเสน่หา อารมณ์รัก (passion) อันก่อให้เกิดความรัก 7 แบบ คือ ความใกล้ชิดผูกพันอย่างเดียว ซึ่งมีผลต่อการก่อรูปแบบความรักรูปแบบอื่น ได้แก่ ความรักแบบเพื่อน (liking) ความเสน่หาอย่างเดียวเป็นความรักแบบลุ่มหลง(infatuation) ความผูกพันอย่างเดียวถือเป็นความรักแบบว่างเปล่า(empty love) ความรักแบบเพ้อฝัน (romantic love) เป็นความรักที่ประกอบด้วย ความใกล้ชิดสนิทสนมและอารมณ์รัก ความรักฉันท์มิตรภาพ (companionate love) เป็นความรักที่ประกอบด้วย ความใกล้ชิดสนิทสนมและความผูกพัน ความรักลวงตา (fatuous love) เป็นความรักที่ประกอบด้วย เสน่หาอารมณ์รัก และผูกพัน สุดท้ายคือความรักที่สมบูรณ์แบบ (consummate love) เป็นความรักที่ประกอบไปด้วย ความใกล้ชิด สนิทสนม ความผูกพัน และเสน่หา อารมณ์รัก (Sternberg. 1988: online)




ในบทความต่อไปนี้จะยกเนื้อหาจากสารนิพนธ์ของสัตกร วงศ์สงคราม เรื่องการศึกษาความรักของวัยรุ่น ซึ่งสรุปเนื้อความได้ดังนี้
  1. วัยรุ่นชายให้ความสำคัญกับความรักสูงกว่าวัยรุ่นหญิง ที่เป็นเช่นนี้อาจเป็นเพราะว่า การศึกษาในครั้งนี้มุ่งศึกษากลุ่มตัวอย่างที่เป็นวัยรุ่นตอนปลาย เป็นระยะที่วัยรุ่นชายเริ่มสนใจเพศตรงข้ามเพิ่มมากขึ้น ต่างจากเมื่อตอนเป็นวัยรุ่นตอนต้นวัยรุ่นชายมักจะไม่สนใจต่อเพศตรงข้าม โดยในขณะที่วัยรุ่นหญิงจะเริ่มสนใจในเพศตรงข้ามตั้งแต่ก้าวสู่การเป็นวัยรุ่นตอนต้น สอดคล้องกับการศึกษาของ วิลาวรรณ์ ทวิชศรี (2546 : 85)
  2. ส่วนเพศหญิงเริ่มให้ความสนใจเพศตรงข้ามในลักษณะคู่รักแต่เป็นรุ่นพี่ และเริ่มพิถีพิถันเรื่องการแต่งกายแต่พอเข้าระยะวัยรุ่นตอนปลายความสนใจในเพศตรงข้ามของวัยรุ่นเพศชายจะเพิ่มมากขึ้น
  3. จิระ จึงเจริญศิลป์ (2523: 44) ศึกษาค่านิยมในการคบเพื่อนต่างเพศของเด็กวัยรุ่นในแหล่งเสื่อมโทรมคลองเตย พบว่าวัยรุ่นชายมีค่านิยมในการคบเพื่อนต่างเพศแตกต่างจากวัยรุ่นเพศหญิง อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 และพบว่าเพศชายรู้สึกเสรีในการปฏิบัติตนเกี่ยวกับการคบเพื่อนต่างเพศมากกว่าเพศหญิง สอดคล้องกับ เรณู เจริญศรี (2525: 67)
  4. วัยรุ่นที่ระดับการศึกษาแตกต่างกัน ได้แก่ ระดับมัธยมศึกษาตอนปลาย อนุปริญญาและปริญญาตรีให้ความสำคัญกับความรักแตกต่างกันอย่างไม่มีนัยสำคัญทางสถิติในองค์ประกอบรวม ส่วนในองค์ประกอบย่อย วัยรุ่นที่มีระดับการศึกษาต่างกันให้ความสำคัญกับความรักในด้านความเสน่หาต่างกัน โดยวัยรุ่นที่ศึกษาในระดับอนุปริญญาให้ความสำคัญกับเสน่หามากกว่าวัยรุ่นที่ศึกษาระดับมัธยมศึกษาตอนปลายและปริญญาตรีอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 การที่ผลการศึกษาพบว่าวัยรุ่นที่ศึกษาระดับมัธยมศึกษาตอนปลาย อนุปริญญา และปริญญาตรีมีคะแนนความรักแตกต่างกันอย่างไม่มีนัยสำคัญทางสถิตินั้น อาจเป็นเพราะว่าการศึกษาในครั้งนี้เกิดจากการศึกษาในกลุ่มวัยรุ่นเพียงกลุ่มเดียวคือ วัยรุ่นตอนปลาย ซึ่งมีความคิด ความรู้สึกใกล้เคียงกันในวัยไล่เลี่ยกัน การศึกษาจึงไม่ส่งผลต่อระดับความรู้สึกที่มีต่อความรักมากนัก
  5. การศึกษาความเกี่ยวข้องระหว่างประสบการณ์การมีคู่รักของวัยรุ่นและความรักของวัยรุ่น พบว่าวัยรุ่นที่มีประสบการณ์การมีคู่รักแตกต่างกันให้ความสำคัญกับความรักที่แตกต่างกันกล่าวคือ วัยรุ่นที่ยังไม่เคยมีคู่รัก เคยมีคู่รักแล้ว (แต่ปัจจุบันไม่มี) และมีคู่รัก (ในปัจจุบัน) มีคะแนนความรักที่แตกต่างกัน ทั้งในองค์ประกอบรวมและองค์ประกอบย่อยอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01 สรุปได้ว่า วัยรุ่นที่เคยมีคู่รักให้ความสำคัญกับความรักสูงกว่าวัยรุ่นที่เคยมีคู่รัก (ปัจจุบันไม่มี) และวัยรุ่นที่ไม่เคยมีคู่รักอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ .05
  6. จากผลการวิจัยสามารถอภิปรายผลได้ว่าการที่วัยรุ่นอยู่ในครอบครัวที่เต็มไปด้วยความรักความอบอุ่น บิดา มารดา ปฏิบัติหน้าที่ได้ดีในฐานะผู้ปกครอง ในขณะเดียวกันวัยรุ่นก็ทำหน้าที่ของตนได้ดีในฐานะบุตร ไม่ว่าจะเป็นการทำหน้าที่ในด้านการแก้ไขปัญหา การสื่อสาร บทบาทของสมาชิกภายในครอบครัว การตอบสนองทางด้านอารมณ์ ความผูกพันทางอารมณ์ การควบคุมพฤติกรรมและการทำหน้าที่ทั่วไป ที่เต็มอิ่มไปด้วยความสมบูรณ์มักจะปรารถนาความรักความอบอุ่นจากบุคคลภายในนอกน้อยลง
จากการศึกษาข้างต้น สรุปได้ว่า มีความแตกต่างระหว่างชายและหญิง และ ครอบครัวมีส่วนต่อความรักในวัยเรียนมาก 

สาเหตุ

ความคิดเกี่ยวกับการมีรักของวัยรุ่นหญิง
        เพศหญิงส่วนใหญ่เมื่อย่างเข้าวัยรุ่นแล้วจะมีการตอบสนองทางเพศโดยการหาคู่รัก คนรู้ใจ หรือที่เรียกกันว่าแฟน ผู้หญิงมักจะคิดกับความรักว่าเป็นสิ่งสวยงาม สดใส หรือเป็นสิ่งที่ช่วยเติมเต็มให้หัวใจ เพื่อทำให้ตนเองมีความสุข  ผู้หญิงเมื่อมีความรัก หรือแอบรักใครสักคนมักจะมองโลกเป็นสีชมพูเหมือนในนิยาย และทุ่มเทกับรักเต็มที่  แต่เมื่อไหร่ที่ผู้ชายทำให้ผู้หญิงต้องมีน้ำตาโดยการแอบนอกใจ ผู้หญิงก็จะคิดว่าผู้ชายคนนั้นเป็นผู้ชายที่เลว และห่วย จึงคิดมีอคติกับคนนั้นทันที แต่ถ้าผู้ชายคนนั้นจริงใจกับผู้หญิงอย่างจริงจัง  ผู้หญิงก็จะตอบแทนโดยการมอบรักให้อย่างจริงใจและจะฝากความหวังไว้ที่ผู้ชายคนนั้นโดยที่จะไม่แอบนอกใจ หรือทำให้ผู้ชายคนนั้นผิดหวังเลย  ถ้าผู้ชายคนไหนต้องการจะมีรักกับผู้หญิงก็ควรจะรักด้วยความจริงใจ และถ้าสัญญาสิ่งใดไว้ก็ต้องทำตามคำสัญญา และอย่าทำให้ผู้หญิงผิดหวัง

    ความคิดเกี่ยวกับการมีรักของเพศชาย


         เพศชายส่วนใหญ่เมื่อย่างเข้าสุ่วัยรุ่น ก็ไม่ต่างอะไรกับเพศหญิงมากนักคือต้องการที่จะตอบสนองทางเพศโดยการหาคู่รักหรือคนรู้ใจมาช่วยเติมเต็มให้กับหัวใจ  ผู้ชายมักจะมองว่าความรักเป็นสิ่งที่สามารถทำให้ตนเองมีความสุขได้  และมักจะคิดว่าความรักคือการมีSEX ซึ่งผู้ชายทั่วไปเมื่อคิดจะมีความรักก็จะมองผู้หญิงจากหน้าตาเป็นอันดับแรก และจะคิดเรื่องSEXเป็นลำดับต่อมา ซึ่งผู้ชายโดยทั่วไปอยากมีแฟนสวย อยากมีแฟนเป็นคนดัง และเป็นที่รู้จักกันทั่ว ผู้ชายเมื่อเป็นแฟนกับผู้หญิงไปนานๆ  ก็จะแอบแตะเนื้อต้องตัวเราและต่อไป เพศชายก็อาจจะขอมีเพศสัมพันธ์ด้วยแต่การกระทำเหล่านี้อาจส่งผลทำให้ผู้หญิงกลัวและไม่กล้าที่จะเป็นปแฟนกันต่อไปได้อีก  จึงเป็นสาเหตุทำให้เลิกกันได้

      
ลักษณะการคบเพื่อนต่างเพศ

-คบแบบเพื่อน
-คบแบบคู่ครองหรือคู่รัก
 วัยรุ่นอายุระหว่าง14-16ปีเด็กผู้ชายจะเริ่มสนใจผู้หญิง  บางคนเริ่มจับคู่กัน  วัยรุ่นชายและหญิงต้องการตอบสนองทางเพศที่ต่างกัน
การคบกันแบบคู่ควงหรือคู่รักความรักระหว่างหญิงชาย มักเริ่มต้นจากความรู้สึกชอบพอกัน อารมณ์รักที่เกิดขึ้นจะทำให้...ทั้งคู่รู้สึกคิดถึงกัน อยากเห็นหน้าและต้องการพูดคุยใกล้ชิดกันตลอดเวลา ความรักทำให้คนมีพลัง ชีวิตที่มีความรักจะเต็มไปด้วยความสดใส กระชุ่มกระชวย แต่อารมณ์รักของหญิงและชายก็มีการแสดงออกที่แตกต่างกันอยู่ไม่น้อย เพราะธรรมชาติสร้างผู้ชายและผู้หญิงให้มีความแตกต่างกันทั้งทางร่างกายและจิตใจ และนั่นเป็นสาเหตุที่อาจทำให้เกิดปัญหาตามมาได้โดยรู้เท่าไม่ถึงการณ์ 

        ความรัก...เป็นเหตุให้ชายและหญิงต้องการอยู่ใกล้ชิดกัน ได้นั่งพูดคุย หยอกล้อ สบตากันปิ๊งๆๆ อยากสัมผัสมือกัน จูงมือเดินคุยกันกระหนุงกระหนิง เมื่อสัมพันธภาพแน่นแฟ้มมากขึ้น ก็เปลี่ยนจากการจับมือเป็นโอบไหล่ กอดคอ ในช่วงแรกๆ การพบกันทุกครั้งยังอยู่ในที่เปิดเผย เพราะฝ่ายหญิงอาจจะยังไม่แน่ใจในฝ่ายชายมากนัก แต่เมื่อความรักดำเนินการไปถึงขั้นไว้วางใจ ทั้งคู่จะเริ่มรู้สึกว่าต้องการมีเวลาอยู่กันตามลำพังโดยไม่มีเพื่อนๆ คอยขัดคอหรือถูกแซวเวลาจีบกัน 


            การนัดพบเป็นกลุ่มจึงเปลี่ยนเป็นการนัดพบกันตามลำพังสองต่อสองในที่ลับตาคนมากขึ้น เพราะทั้งคู่เริ่มต้องการความเป็นส่วนตัวที่จะสามารถจู๋จี๋กันได้อย่างสนิทใจ แบบไม่มี ก-ข-ค โดยไม่ได้เฉลียวใจแม้แต่น้อยว่าความใกล้ชิดประกอบกับความพึงพอใจ และความแตกต่างระหว่างชายหญิงจะเป็นบันไดที่นำไปสู่ความรัก...ซึ่งเป็นความปรารถนาที่ซ่อนเร้นของมนุษย์ที่กำลังตกอยู่ในความรัก เมื่อพูดถึงตรงนี้น้องๆผู้หญิงทั้งหลายมักจะเถียงว่า เป็นไปไม่ได้หรอก เพราะตนเองไม่ได้คิดถึงเรื่องทำนองนั้นเลย เพียงแต่ต้องการอยู่ใกล้ชิดกับคนที่เราพอใจเท่นั้นก็รู้สึกดีแล้ว แต่น้องๆอย่าลืมว่าผู้ชายเขาคิดต่างกับเรา

- วัยรุ่นหญิงต้องการเพียง " ความรัก " ความรู้สึกอบอุ่นใจ มีคนปกป้อง ห่วงใย ต้องการความโรแมนติกเท่านั้น 


- วัยรุ่นชายเริ่มต้องการ " ความใคร่ " ฝ่ายหญิงอาจเพลี่ยงพล้ำ ถ้าปล่อยตัว ปล่อยใจให้เคลิบเคลิ้มไปกับอารมณ์โรแมนติกโดยไม่รู้ตัว 

ผลของการเผลอใจ การเผลอใจอาจทำให้วัยรุ่นตั้งครรภ์ก่อนถึงเวลาอันควร ซึ่งตัววัยรุ่นเอง ครอบครัวและสังคมยอมรับไม่ได้ 

วัยรุ่นควรลองถามตัวเองดูว่าจะเกิดอะไรขึ้น ถ้าตั้งครรภ์ในขณะที่เรียน 

- พ่อแม่จะว่าอย่างไร 

- การเรียนที่โรงเรียนจะเป็นอย่างไร 

- เพื่อนบ้านเขาจะพูดว่าอย่างไร 

- พ่อของลูกจะรับผิดชอบหรือไม่ 

- จะเลี้ยงลูกอย่างไร 

- จะผิดศีลธรรมและเป็นตราบาปหรือไม่ 

          ถ้าคิดจะไว้วางใจคนที่เรารักก็อาจจะต้องระมัดระวังใจของเราเองด้วย หากคิดว่าไม่ต้องการเสียสาวก่อนวัยอันสมควรและคิดว่าเรายังไม่สามารถรับผิดชอบตัวเองได้ ทางเลือกที่ดีก็คือ พยายามหลีกเลี่ยงการอยู่ด้วยกันสองต่อสองกับคนที่เรารักในที่ลับตาคนเสียนะคะ อย่าคิดผยองใจว่า ฉันเป็นคนใจแข็งคงเอาตัวรอดได้น่ะ เพราะเจอมานักต่อนักแล้ว ที่คนเหล่านั้นต้องน้ำตาเช็ดหัวเข่า...เนื่องจากความรักและความใคร่มักเกิดขึ้นพร้อมๆกันเสมอ... 


    วัยรุ่นกับการอกหัก 

        มีวัยรุ่นหลายคนที่เคยพบกับปัญหาถูกแฟนหรือคนรักตีจาก ต้องพกพาความเศร้าเสียใจ ความชอกช้ำระกำใจ ร้องไห้ฟูมฟายว่าตนเองกลายเป็นคนอกหัก ถูกแฟนหรือคนรักหมดรัก ทอดทิ้ง และกล่าวโทษตนเองว่าไม่ดีพอ ไม่สวย ไม่น่ารัก จึงไม่สามารถพิชิตใจคนรักไว้ได้ กล่าวโทษคนรักว่าเขาไม่ดี หลายใจ มากรัก ไม่ซื่อสัตย์ ทั้ง ๆ ที่ตนเองเป็นคนดี ทุ่มเททั้งแรงกายแรงใจให้เขาทั้งหมด เป็นต้น 

หากใครที่กำลังประสบกับปัญหาอกหักอยู่ มาพิจารณากันดีกว่าว่าเมื่ออกหักแล้วจะทำอย่างไร 

ลองถามตัวเองว่าอกหักแล้วเราเสียอะไรไปมากมายแค่ไหน แน่นอนเราต้องเสียใจ แต่จะเสียใจมากน้อยแค่ไหนนั้น ย่อมขึ้นอยู่กับการทุ่มเทของเรา ถ้าทุ่มเททุกอย่างทั้งกายและใจ ก็ย่อมทำให้เราเสียใจมากกับการทุ่มเท เพราะทุกสิ่งทุกอย่าง ไม่ว่าตัวเรา ทรัพย์สิน ของมีค่าต่าง ๆ ที่เราเสียไปดูจะมากมายเหลือเกิน ถ้าจะให้ทำใจได้ก็อาจจะต้องใช้เวลาสักระยะหนึ่ง เพื่อคิดทบทวนเรียกศักดิ์ศรีตนเองให้กลับคืนมา 

ลองคิดต่อสักนิดว่า เราเสียหมดตัวแล้วหรือ หรือจริง ๆ แล้วเราเสียหน้ามากกว่า 

และลองคิดต่อไปว่า คนหักอกเราเขาจะภูมิใจแค่ไหนที่หลอกเราได้สำเร็จ เขาร่าเริงแต่เราเสียใจ คนอย่างนี้ยังมีคุณค่าแก่เราอีกหรือ ทำไมให้เขาชนะเราง่าย ๆ ทำไมเราไม่เข้มแข็งเอาชนะเขาให้ได้บ้าง 

ให้ลองมาพิจารณาว่าการอกหักครั้งนี้ เรายังมีสิ่งอื่น ๆ ที่ยังเหลืออยู่อีก นั่นคือเรายังมีศักดิ์ศรี ยังมีคุณค่า ยังมีอนาคตที่ยาวไกล ยังมีพ่อแม่พี่น้องเพื่อนฝูงที่เข้าอกเข้าใจ รักและต้องการเราอยู่ 

ฉะนั้น เราต้องดำเนินชีวิตอยู่เพื่อค้นพบในสิ่งที่ดีกว่าเดิม ไม่จมกับอดีตนานเกินไป เมื่อเราค้นพบความสำเร็จ ความลงตัวในชีวิตที่แท้จริง เราจะรู้ว่าประสบการณ์ครั้งเก่าก่อน สอนให้เราต่อสู้ชีวิตได้มากทีเดียว สิ่งที่เราเคยคิดว่าเราสูญเสียไปกับความรักที่ทำให้เราอกหัก แท้จริงไม่ได้มากอย่างที่เราคิดเลย 
http://fokl-crose.blogspot.com/

ปัญหาการเรียนตกต่ำของนักเรียนโรงเรียนชะอวดเกิดจาก
    การติดสื่อออนไลน์มากกว่าค่านิยมในการมีแฟน  เพราะในสมัยนี้มีเทคโนโลยีหลากหลายที่ทำให้นักเรียนคิดว่าเทคโนโลยีสามารถเป้นเพื่อนคู่ใจได้ตลอดเวลาจึงทำให้การเรียนของนักเรียนดรงเรียนชะอวดตกต่ำจนไม่มีความรู้ติดตัว